top of page

อยากกล้ามโตไว?... ลอง Kaatsu Training: ความลับที่นักกีฬาดังใช้!

  • น.พ.บรรลือ
  • 2 มิ.ย.
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 7 วันที่ผ่านมา

อยากกล้ามโตไว?... ลอง Kaatsu Training: ความลับที่นักกีฬาดังใช้!
อยากกล้ามโตไว?... ลอง Kaatsu Training: ความลับที่นักกีฬาดังใช้!

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนถึงดูเหมือนจะฟิตขึ้นได้เร็วเหลือเชื่อ? หรือนักกีฬาบางคนทำไมถึงพัฒนาตัวเองได้ก้าวกระโดด?


หนึ่งในเทคนิคที่กำลังเป็นที่จับตามอง และมีศักยภาพสูงมากๆ นั่นคือ Kaatsu Training (หรือที่รู้จักในชื่อ Blood Flow Restriction Training: BFR) หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาไทยแบบเข้าใจง่ายว่า "การฝึกแบบรัดแขนขา" ครับ!


ฟังดูแปลกๆ ใช่ไหม? - รัดแขนขาแล้วจะฟิตขึ้นได้ยังไง? - ใจเย็นๆ ครับ นี่ไม่ใช่การทรมานตัวเอง แต่เป็นการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการออกกำลังกายได้อย่างชาญฉลาด



>> Kaatsu Training คืออะไร?


ผู้คิดค้น: ดร.โยชิอาคิ ซาโตะ (Dr. Yoshiaki Sato) แพทย์และนักวิทยาศาสตร์การกีฬาชาวญี่ปุ่น ในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งได้แรงบันดาลใจ ที่เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาที่ต้องนั่งคุกเข่านานจนขาชา จากนั้นสังเกตว่า การกดทับเส้นเลือดนานๆ ทำให้เกิดการกระตุ้นกล้ามเนื้อ


ดร.ซาโตะจึงได้ทำการทดลองกับตนเองกว่า 20 ปี ก่อนเผยแพร่สู่สาธารณะในปี 1990 และจดสิทธิบัตรในชื่อ Kaatsu (มาจากภาษาญี่ปุ่น: 加压 = ความดัน)


Kaatsu training มีแนวคิดหลักคือ การรัดด้วยสายรัดหรือผ้าพันแขน/ขา เพื่อจำกัดการไหลเวียนของเลือด ขณะออกกำลังกายด้วยความหนักต่ำ (Low-Intensity) แต่ได้ผลลัพธ์คล้ายการออกกำลังกายความหนักสูง (High-Intensity)


พูดง่ายๆ Kaatsu Training คือ การออกกำลังกายไปพร้อมกับการจำกัดการไหลเวียนเลือดดำบางส่วนกลับเข้าสู่หัวใจ โดยใช้สายรัดพิเศษ (Kaatsu Band) หรือบางคนก็เรียกว่า Blood Flow Restriction (BFR) Bands มารัดที่ต้นแขนหรือต้นขา ในขณะที่ยังคงปล่อยให้เลือดแดงไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ปกติ


ลองนึกภาพตามนะครับ ...


เมื่อเราออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะใช้พลังงาน และเลือดจะไหลเวียนนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ และนำของเสียออกไป แต่เมื่อเราใช้ Kaatsu Band รัดไว้ เลือดแดงก็ยังคงไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ แต่เลือดดำที่จะไหลกลับเข้าสู่หัวใจนั้นถูกจำกัดไว้บางส่วน ทำให้เกิดการ กักเก็บ/สะสม เลือดไว้ในกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ มากขึ้น



>> กลไกเบื้องหลังกล้ามโตไวสุดล้ำ!


เมื่อเกิดการกักเก็บ/สะสมเลือดในกล้ามเนื้อ จะเกิดอะไรขึ้น? ร่างกายของเราฉลาดกว่าที่เราคิดครับ! เมื่อกล้ามเนื้ออยู่ในสภาพที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำ (แต่ไม่ใช่ไม่มีเลยนะ!) และมีเลือดคั่งอยู่ กล้ามเนื้อส่วนนั้น จะส่งสัญญาณไปยังสมองว่า "เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย! ... ฉันกำลังทำงานหนักมากนะ ให้มาช่วยหน่อยสิ" และนี่คือจุดที่ความมหัศจรรย์เกิดขึ้น



> หลักการทางสรีรวิทยา


  1. กลไกการจำกัดการไหลเวียนเลือด (Blood Flow Restriction)


    1. Venous Occlusion (การอุดกั้นเลือดดำ): ใช้สายรัดรัดบริเวณโคนแขน/ขา (เช่น ต้นแขนหรือต้นขา) ด้วยความดัน ~50-80% ของความดันที่ปิดเส้นเลือดแดง (ใช้เครื่องมือวัดความดันหรือสายรัดเฉพาะ)


      1. เลือดแดง (Arterial Flow): ยังไหลเข้าสู่กล้ามเนื้อได้บางส่วน


      2. เลือดดำ (Venous Return): ถูกปิดกั้นบางส่วน ทำให้ของเสียสะสมในกล้ามเนื้อ


    2. Hypoxia (ภาวะขาดออกซิเจน): เกิดจากเลือดดำคั่ง จะส่งสัญญาณให้ร่างกายเร่งกระบวนการสร้างพลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Metabolism)


  2. กลไกกระตุ้นการเติบโตของกล้ามเนื้อ

    1. เมตาบอลิกสเตรส (Metabolic Stress): กล้ามเนื้อที่อยู่ในสภาวะเครียดและขาดออกซิเจนเล็กน้อย จะส่งสัญญาณไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่ง Growth Hormone ออกมามากกว่าปกติ ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้สำคัญมากๆ ในการสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยในการลดไขมันด้วย


      1. เกิดการสะสมของเสีย เช่น กรดแลคติก, ไฮโดรเจนไอออน กระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone, IGF-1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างมวลกล้ามเนื้อ


      2. เพิ่มการผลิต Reactive Oxygen Species (ROS) ในระดับต่ำ ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์


    2. การเปิดใช้งานใยกล้ามเนื้อ Type II: กล้ามเนื้อของเรามี 2 ประเภทหลักๆ คือ Slow-Twitch (กล้ามเนื้อ Type I - ทนทาน ทำงานได้นาน) และ Fast-Twitch (กล้ามเนื้อ Type II - แข็งแรง ระเบิดพลังได้ดี) ปกติแล้ว เราจะใช้ Slow-Twitch ก่อน แต่ด้วย Kaatsu สภาวะที่เลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ จะทำให้ Fast-Twitch ถูกเรียกใช้งานได้เร็วกว่าปกติ แม้จะยกน้ำหนักเบาๆ ก็ตาม! ซึ่งกล้ามเนื้อ Fast-Twitch นี่แหละคือตัวสร้างความแข็งแรงและขนาดกล้ามเนื้อ!


      1. แม้ใช้น้ำหนักเพียง 20-30% ของ 1RM (Repetition Maximum – หนึ่งรอบการยกสูงสุด) แต่กล้ามเนื้อก็ยังคงรับรู้ว่า กำลังทำงานหนัก ทำให้เกิดการกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ (Muscle Protein Synthesis) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับการยกน้ำหนักที่หนักกว่า! และร่างกายจะเร่งใช้งานใยกล้ามเนื้อเร็ว (Fast-Twitch Fibers) เพื่อชดเชยความเมื่อยล้า


    3. เซลล์กล้ามเนื้อบวมน้ำ (Cell Swelling): การคั่งของเลือดและของเหลวในเซลล์กระตุ้น mTOR Pathway ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีน




> ใครเหมาะกับ Kaatsu Training?


Kaatsu ไม่ใช่แค่สำหรับนักเพาะกายหรือนักกีฬาเท่านั้นนะ! แต่เหมาะกับคนหลากหลายกลุ่มที่อยากจะแฮกร่างกาย (Biohack) ตัวเอง:


  • คนอยากสร้างกล้ามเนื้อแต่ไม่อยากยกหนัก: เช่น ผู้สูงอายุ, ผู้ที่กำลังฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ, หรือผู้ที่ต้องการลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ

  • นักกีฬาที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ: ไม่ว่าจะนักวิ่ง นักจักรยาน หรือนักกีฬาประเภทอื่น ๆ Kaatsu สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อได้

  • คนรุ่นใหม่ที่สนใจ Biohacking & Advance Performance: การเพิ่ม Growth Hormone, การกระตุ้นกล้ามเนื้อโดยใช้น้ำหนักเบา, การฟื้นตัวที่เร็วขึ้น – นี่คือเครื่องมือชั้นดีในการยกระดับประสิทธิภาพของร่างกาย

  • คนที่บาดเจ็บ หรือต้องการฟื้นฟู: Kaatsu สามารถช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้แม้ในขณะที่จำกัดการเคลื่อนไหว หรือไม่สามารถลงน้ำหนักได้เต็มที่



> งานวิจัยรองรับ


Kaatsu Training ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับมากมาย ลองดูงานวิจัยเหล่านี้เป็นตัวอย่างครับ:


  • Study 1: ผลของ Kaatsu Training ต่อการสร้างกล้ามเนื้อและฮอร์โมน

    • งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าการฝึก Kaatsu ด้วยน้ำหนักเบาสามารถเพิ่มขนาดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้เทียบเท่ากับการฝึกด้วยน้ำหนักที่หนักกว่า และยังพบว่ามีการกระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone อย่างมีนัยสำคัญ

    • อ้างอิง: Michiya Tanimoto, et al. (2006). Effects of low-intensity resistance training with slow movement and tonic force generation on muscular size1 and strength in young men. Journal of Applied Physiology, 102(5), 1709-1715.


  • Study 2: Kaatsu Training ในบริบทของการฟื้นฟูสมรรถภาพ

    • งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาผลของ Kaatsu Training ในผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากการผ่าตัดเข่า และพบว่าช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะใช้น้ำหนักที่เบามากก็ตาม

    • อ้างอิง: Takarada, Y., et al. (2002). Effects of resistance training with vascular occlusion on muscle size in human subjects. Journal of Applied Physiology, 92(2), 524-530.


  • Study 3: กลไกการทำงานของ Kaatsu Training

    • งานวิจัยนี้เจาะลึกถึงกลไกทางสรีรวิทยาที่ทำให้ Kaatsu Training มีประสิทธิภาพ รวมถึงการกระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone และการเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ

    • อ้างอิง: Loenneke, J. P., et al. (2012). The acute muscle swelling and anabolic effects of blood flow restriction exercise. Exercise and Sport Sciences Reviews, 40(3), 162-169.



ข้อควรระวัง: แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ Kaatsu Training ควรทำภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ หรือศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนลงมือทำ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด!



เริ่มต้น Kaatsu Training ยังไงดี? (แบบปลอดภัย)


  1. อุปกรณ์: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Kaatsu Band หรือ BFR Bands ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ห้ามใช้ยางรัดหรือเชือกธรรมดาเด็ดขาด เพราะอาจเป็นอันตรายได้!

  2. ความดัน: การรัดต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่แน่นจนเกินไปจนเลือดไม่ไหลเลย และไม่หลวมจนไม่มีผล โดยทั่วไปแล้วจะรัดให้รู้สึกแน่นแต่ไม่เจ็บ และยังสามารถขยับปลายนิ้วมือหรือนิ้วเท้าได้ปกติ (สัญญาณว่าเลือดยังไหลไปเลี้ยงได้)

  3. น้ำหนัก: เริ่มต้นด้วยน้ำหนักที่เบามากๆ ครับ ประมาณ 20-30% ของน้ำหนักสูงสุดที่คุณยกได้ 1 ครั้ง (1RM)

  4. จำนวนครั้ง/เซ็ต: ทำจำนวนครั้งที่ค่อนข้างสูง (ประมาณ 15-30 ครั้งต่อเซ็ต) และทำหลายเซ็ต (เช่น 3-5 เซ็ต) โดยพักระหว่างเซ็ตไม่นานมาก (ประมาณ 30-60 วินาที)

  5. ระยะเวลา: ไม่ควรรัดนานเกินไป โดยทั่วไปไม่เกิน 15-20 นาทีต่อครั้ง



บทสรุป: Kaatsu Training คือประตูสู่การยกระดับประสิทธิภาพ


Kaatsu Training เป็นเทคนิคที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูงสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะ แฮกร่างกาย (Biohack) ของตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิม ไม่ว่าคุณจะอยากสร้างกล้ามโตไว ฟื้นฟูร่างกาย หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย Kaatsu ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าลองศึกษาและนำมาปรับใช้


จำไว้เสมอว่า ความรู้คือพลัง และการเข้าใจในกลไกของร่างกายจะช่วยให้คุณออกแบบการฝึกที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างชาญฉลาดที่สุด!


ถ้าสนใจ ลองศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มฝึกจริงนะครับ!






Comments


bottom of page